ในงานออกแบบถังบรรจุ ถังรับแรงดัน (Pressure Vessel) Platform
ต่างๆ ผนังและพื้นของโครงสร้างเหล่านี้จะมีความดันมากระทำ
ในการออกแบบจะแบ่งผนังหรือพื้นเหล่านี้ออกเป็นส่วนย่อยๆ โดยการเสริม Stiffeners ที่เป็นเหล็กรูปประพรรณ เช่น เหล็ก I Beam เหล็ก H Beam ดังแสดงเป็นตัวอย่างในภาพที่ 1 ถังน้ำ ลึก
3.6 m ลึก หน้าตัดจัตุรัส ขนาด 2.7 m ทำจากเหล็กแผ่น
โดยผนังของถังน้ำแต่ละด้านถูกแบ่งออกเป็น 9 ส่วน
โดยใช้เหล็กโครงสร้างเป็นเหล็กรองรับ (Stiffeners) ดังนั้นจะได้ผนังเหล็กแผ่นเป็น 9 ส่วน
แต่ละส่วนมีขนาด กว้าง 0.9 ม สูง 1.2 ม โจทย์คือจะต้องใช้เหล็กแผ่นที่มีความหนาเท่าไหร่ถึงจะมีความแข็งแรงเพียงพอ
และการโก่งสูงสุดมีค่าเป็นเท่าใด
ภาพที่ 1 ผนังของถังน้ำ
เริ่มต้นจากการวิเคราะห์ปัญหา ทำให้ทราบว่า
เหล็กแผ่นส่วนที่อยู่ด้านล่างสุดเป็นเหล็กแผ่นที่รับแรงดันน้ำสูงที่สุด ตามหลักการของ
Fluid
Static โดย Profile ของ แรงดันที่กระทำกับผนังเหล็กแผ่นด้านล่างแสดงได้ดังภาพที่ 2
ในการออกแบบ จะใช้ทฤษฏี Plate and Shell โดยจะตั้งสมมุติฐานให้
ความดันกระจายอย่างสม่ำเสมอบนเหล็กแผ่น ดังนั้นจะใช้ความดันเฉลี่ยที่ความลึกตำแหน่งกึ่งกลางผนังเหล็กแผ่น (Lower
Panel) ดังนั้นจะได้ความดันที่กระจายอย่างสม่ำเสมอบนผนังเหล็กแผ่นดังภาพที่
2
ความดันเฉลี่ยที่กระทำกับเหล็กแผ่น มีค่าเท่ากับ
Pavg =1,000 (kg/m^3)*9.81 (m/s^2)*
(2.4 + 0.5*1.2)(m) = 29,430 Pa = 29.43 kPa
ภาพที่ 2 Pressure Distribution on steel plate
สมมุติฐานในการออกแบบผนังเหล็กแผ่น
จะกำหนดให้เหล็ก Stiffeners มีความแข็งแรงสูงและเชื่อมติดกับผนังเหล็กแผ่น
ดังนั้นกล่าวได้ว่า ขอบของผนังเหล็กแผ่นย่อยนี้ถูกตรึงอยู่ (Fixed)
มาถึงตรงนี้จะกล่าวได้ว่า
เรากำลังออกแบบแผ่นเหล็กที่มีความดันกระจายอย่างสม่ำเสมอและขอบทั้ง 4
ด้านถูกตรึงอยู่กับที่ เป็นไปตามเงื่อนไข All Edges Fixed ซึ่งจาก ทฤษฏี Plate
and Shell จะกำหนดให้ความกว้างของเหล็กแผ่นเป็น b ความยาวของเหล็กแผ่นเป็น
a ดังนั้นในตัวอย่างนี้ b = 0.9 m a = 1.2 m
การคำนวณหาโมเมนต์ต่อความยาวของเหล็กแผ่นจะอาศัยประมาณการจากผลการทดลอง
โดย Batch ได้ทดลองกับแผ่นเหล็กเหนียวที่ตรึงขอบทั้ง 4 ด้าน จากผลการทดลองค่าสัมประสิทธิ์ของโมเมนต์ต่อความกว้างจะเป็นฟังก์ชันของสัดส่วน
b/a ดังแสดงในภาพที่ 3
ภาพที่ 3 สัดส่วนของโมเมนต์ต่อ pb^2
จากเส้นกราฟในภาพที่ 3 เมื่อ b/a = 0.9/1.2 = 0.75
จะได้ ค่าสัมประสิทธิ์ของโมเมนต์ต่อความกว้าง
= 0.042
ดังนั้นค่า โมเมนต์ต่อความกว้าง M จะเท่ากับ
M/pb^2 = 0.042
M = (0.042)*(29.43 x1,000 N/m^2)*(0.9
m^2) ช = 1,000 N-m/m
เมื่อทราบค่าโมเมนต์ต่อความกว้าง M แล้ว สามารถคำนวณค่าความหนาต่ำสุดของผนังเหล็กแผ่น ได้จากสูตรคำนวณ Bending Stress โดยความเค้นสูงสุดที่เกิดขึ้นต้องไม่เกิน
ความเค้นออกแบบ (Sw) ของเกรดเหล็กที่เลือกทำผนังเหล็กแผ่น สมมุติให้มีค่าเท่ากับ 124 MPa
Sw = 6M/h^2
ดังนั้น
h = (6M/Sw)^0.5 = (6*(1000
N-m/m)/124 N/mm^2)^0.5 = 6.96 mm
การหาการเคลื่อนตัวสูงสุดของผนังเหล็กแผ่น จะหาจาก Theory of Flexure
of Slab
Wmax = C(1-v^2)*(pb^4/Eh^3)
โดย
C = 0.032/(1+(b/a)^4) = 0.032/(1+0.75^4) = 0.0243
v is poisson’ rartio = 0.29 ; E = 200 GPa
ดังนั้น
Wmax = 0.0243*(1-0.29^2)*(29.43x1000 Pa)*(900 mm)^4/(200x10^9
Pa * (6.96 mm)^3) = 6.37 mm
จากผลการคำนวณพบว่า การเคลื่อนตัวสูงสุดของผนังเหล็กแผ่นมีค่าเกินกว่าครึ่งของความหนาเหล็กแผ่น โดยจะพิจารณาร่วมกับสัดส่วนค่า Wmax/b <= 0.01 ผู้ออกแบบผนังถังน้ำจะต้องพิจารณาเกรดเหล็กที่ใช้
หรือลดความกว้างหรือเพิ่มความหนาของเหล็กแผ่นเพื่อลดการเคลื่อนตัวของผนังเหล็กแผ่น
จากการนำเสนอขั้นตอนการออกแบบผนังเหล็กแผ่น
ท่านจะเห็นว่าขั้นตอนการออกแบบเป็นไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ดังนั้นหากใช้ Excel ช่วยในการออกแบบจะช่วยลดเวลาในการออกแบบลงมากทั้งนี้ผู้ที่ใช้งาน
Excel
ก็ต้องเรียนรู้ขั้นตอนการออกแบบผนังเหล็กแผ่นก่อน สามารถโหลดไฟล์ Excel ช่วยคำนวณได้จากที่นี่ครับ จากตัวอย่างนี้
ซึ่งผมจะสรุปขั้นตอนให้ท่านได้ดังนี้
- .
พิจารณาผนังเหล็กแผ่นเป็น
ผนังแผ่นบางที่มีความดันกระทำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งแผ่นและขอบทั้ง 4
ด้านของผนังแผ่นบางถูกตรึงไม่ให้เคลื่อนที่ได้
- .
หาสัดส่วน b/a
- .
เลือกค่า สปส โมเมนต์ต่อความกว้าง จากภาพที่ 3
- .
คำนวณโมเมนต์ต่อความกว้าง จากความสัมพันธ์ M/pb^2
= สปส
โมเมนต์ต่อความกว้าง
- .
คำนวณความหนาของผนังเหล็กแผ่น จากสูตร h =
(6M/Sw)^0.5 เมื่อ Sw คือความเค้นออกแบบของเหล็กแผ่น
- คำนวณหาการเคลื่อนตัวสูงสุด จากสูตร Wmax =
C(1-v^2)*(pb^4/Eh^3) โดย C = 0.032/(1+(b/a)^4